เมนู

ละอัตภาพนี้แล้ว จักไปสวรรค์ด้วยอาการอย่างนี้
ข้าพเจ้าได้ทำกุศลกรรมอย่างนั้นแล จึงได้เสวยสุข
อันเป็นทิพย์ด้วยตน และบันเทิงอยู่ในท่ามกลางหมู่
เทพชั้นไตรทศ ทั้งข้าพเจ้าก็ยังไม่สิ้นบุญนั้น.

จบอเนกวัณณวิมานที่ 8

อรรถกถาอเนกวัณณวิมาน


อเนกวัณณวิมาน มีคาถาว่า อเนกวณฺณํ ทรโสกนาสนํ เป็นต้น.
อเนกวัณณวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี
สมัยนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยวจาริกไปในเทวโลก ตามนัยที่
กล่าวแล้วในหนหลัง ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครั้งนั้น เทพบุตรผู้มี
รัศมีมิใช่น้อย เห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะนั้น เกิดความเคารพนับถือ
มาก เข้าไปหาแล้วยืนประคองอัญชลีอยู่ พระเถระถามถึงกรรมที่เทพบุตร
กระทำ ด้วยมุข คือ มุ่งประกาศสมบัติที่ได้แล้วว่า
ท่านอันหมู่อัปสรแวดล้อม ขึ้นวิมานอันมี
วรรณะมิใช่น้อย เป็นที่ระงับความกระวนกระวาย
และความโศก วิจิตรมาก บันเทิงอยู่ ดุจท้าว
สุนิมมิตเทวราช ผู้เป็นใหญ่ในเทวดา ไม่มีใคร

เสมอเหมือน จะมีใครที่ไหนที่ยิ่งกว่าท่านทางยศ
ทางบุญ และทางฤทธิ์ หมู่ทวยเทพชั้นไตรทศ
ทั้งหลาย ชุมนุมกันก็ไหว้ท่าน ดุจเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลายไหว้พระจันทร์ฉะนั้น และเทพอัปสรเหล่า
นี้ ก็ฟ้อนรำ ขับร้อง บันเทิงอยู่รอบ ๆ ท่าน ท่าน
เป็นผู้บรรลุเทพฤทธิ์ มีอานุภาพมาก ครั้งเกิดเป็น
มนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไร
ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมีของท่าน
จึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เพื่อแสดงกรรมนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เทพบุตรนั้นถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว ดีใจ
ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้.

เทพบุตรแม้นั้นได้กล่าวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อนข้างเจ้าได้เป็น
สาวกของพระชินพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธ ข้าพ-
เจ้าเป็นปุถุชนยังมิได้ตรัสรู้ บวชอยู่ 7 พรรษา
เมื่อพระสุเมธชินพุทธเจ้าผู้ศาสดา ผู้ข้ามโอฆะได้
แล้ว เป็นผู้คงที่ เสด็จปรินิพพานแล้ว ข้าพเจ้านั้น
ได้ไหว้รัตนเจดีย์ที่คลุมด้วยข่ายทอง ทำใจให้
เลื่อมใสในพระสถูป ข้าพเจ้ามิได้ให้ทาน เพราะ
ไม่มีวัตถุทานที่จะให้ แต่ข้าพเจ้าได้ชักชวนคนอื่น ๆ

ให้ให้ทานนั้นว่า ท่านทั้งหลายจงบูชาพระธาตุของ
พระพุทธเจ้าผู้ควรบูชานั้นเถิด ได้ยินว่า ท่าน
ทั้งหลายละอัตภาพนี้แล้ว จักไปสวรรค์ด้วยอาการ
อย่างนี้ ข้าพเจ้าได้กระทำกุศลกรรมอย่างนั้นแล
จึงได้เสวยสุขอันเป็นทิพย์ด้วยตน และบันเทิงอยู่
ในท่ามกลางหมู่เทพชั้นไตรทศ ทั้งข้าพเจ้าก็ยังไม่
สิ้นบุญนั้น.

เล่ากันมาว่า นับจากนี้ถอยหลังไปสามหมื่นกัป พระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงทำโลกนี้กับเทวโลก
ให้สว่างเป็นอย่างเดียวกัน ทรงบำเพ็ญพุทธกิจแล้วเสด็จปรินิพพาน เมื่อ
มนุษย์ทั้งหลายเก็บพระบรมธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าสร้างรัตนเจดีย์
บุรุษคนหนึ่งบวชในศาสนาของพระศาสดา ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ 7
พรรษา มีความรำคาญเพราะจิตไม่ตั้งมั่นจึงสึก ครั้นสึกแล้ว โดยที่
เป็นผู้มีความสังเวชมากและมีฉันทะในธรรม จึงทำการปัดกวาดและดูแล
ของใช้เป็นต้นที่ลานพระเจดีย์ รักษานิจศีลและอุโบสถศีล ฟังธรรม
และเที่ยวชักชวนคนอื่น ๆ ให้ทำบุญ เขาทำกาละตายในเมื่อสิ้นอายุ
บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะความยิ่งใหญ่แห่งบุญกรรม เขาเป็น
เทพบุตรมีศักดิ์ใหญ่ มีอานุภาพมาก เป็นผู้ที่เทวดาทั้งหลายมีท้าวสักกะ
เป็นต้น สักการบูชา ดำรงอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นชั่วอายุ จุติจาก
ดาวดึงส์นั้นท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วยเศษวิบากแห่งกรรม

นั้นแหละ เทวดาทั้งหลายรู้จักเทพนั้นว่าเป็นผู้มีวรรณะมิใช่น้อย หมาย
เอาเทพบุตรองค์นั้น มหาสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า อถ นํ
อเนกวณฺโถ เทวปุตฺโต ฯ เป ฯ น ตสฺส ปุญฺญสฺส ขยมฺปิ
อชฺฌคนฺติ กเถสิ
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเนกวณฺณํ ความว่า มีวรรณะ
หลายอย่าง เพราะมีสีหลายอย่างมีสีเขียวและสีเหลีองเป็นต้น และเพราะ
วิมานติด ๆ กันเป็นต้น มีสัณฐานหลายอย่าง. บทว่า ทรโสกนาสนํ
ความว่า ชื่อว่าเป็นที่ระงับความกระวนกระวายและความโศก เพราะ
บรรเทาความกระวนกระวายและความเร่าร้อนเพราะเป็นวิมานที่เยือกเย็น
และเพราะไม่เป็นโอกาสแห่งความโศกเพราะเป็นวิมานที่น่าปลื้มใจ เพราะ
เป็นวินานที่น่าชม. บทว่า อเนกจิตฺตํ ได้แก่ มีรูปวิจิตรหลายอย่าง.
บทว่า สุนิมฺมิโต ภูตปตีว ความว่า ท่านแม้เป็นหมู่เทพชั้นดาวดึงส์
ก็บันเทิง ยินดี รื่นรมย์ยิ่งเหมือนท้าวสุนิมมิตเทวราช เพราะเป็นผู้มี
ทิพยสมบัติอย่างโอฬาร.
บทว่า สมสฺสโม ได้แก่ ผู้เสมอเหมือนนั่นเอง พูดตรง ๆ ก็
คือ ไม่มีเทพที่เหมือนท่าน. จะมีใครที่ไหน คือด้วยเหตุไร ที่เหนือกว่า
คือยิ่งกว่าเล่า เพื่อจะเฉลยปัญหาว่า เสมอยิ่งกว่าทางไหน ท่านจึงกล่าว
ว่า ยเสน ปุญฺเญน จ อิทฺธิยา จ ทางยศ ทางบุญ และทางฤทธิ์
ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยเสน ได้แก่ บริวารยศ. บทว่า
อิทฺธิยา ได้แก่ อานุภาพ อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ยเสน ได้แก่
อิสริยยศ ความเป็นใหญ่. บทว่า อิทฺธิยา ได้แก่ เทวฤทธิ์ ฤทธิ์ของ
เทวดา อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ยเสน ได้แก่ ความสมบูรณ์แห่งสมบัติ.

บทว่า อิทฺธิยา ได้แก่ ความสำเร็จแห่งกามคุณตามที่ต้องการ. อีกอย่าง
หนึ่ง บทว่า ยเสน ได้แก่ เกียรติยศ ชื่อเสียง ที่งาม. บทว่า อิทฺธิยา
ได้แก่ ความสำเร็จพร้อม. บทว่า ปุญฺเญน ได้แก่ ผลบุญที่เหลือลง
ซึ่งกล่าวไว้ในที่นั้น ๆ หรือบุญกรรมนั่นเอง.
บทว่า สพฺเพ จ เทวา ท่านกล่าวทำเนื้อความที่ถือตามสามัญ
ให้วิเศษด้วยบทนี้ว่า ติทสคณา. เทวดาทั้งหลายเมื่อจะกระทำความเคารพ
เฉพาะตนแก่ท่านที่ควรเคารพ บางท่าน ย่อมไม่กระทำทั้งที่กำลังบันเทิง
กัน สำหรับเทพบุตรนี้ ไม่อย่างนั้น ที่ท่านกล่าวว่า สเมจฺจ ชุมนุมกัน
เพื่อแสดงว่า เทวดาทั้งหลายแม้กำลังบันเทิงกัน ก็กระทำความเคารพแก่
เทพบุตรนี้โดยแท้. บทว่า ตํ ตํ คือ ตํ ตฺวํ ท่านนั้น.
บทว่า สสึว เทวา ความว่า มนุษย์และเทวดาทั้งหลายเกิดอาทร
เอื้อเฟื้อขึ้นมาก็นอบน้อมสสิสิ่งที่มีตรากระต่าย คือพระจันทร์ที่ปรากฏ
ในวันเพ็ญและวันแรมหนึ่งค่ำ ฉันใด หมู่เทพชั้นไตรทศแม้ทั้งหมด ย่อม
นอบน้อมท่านนั้น ก็ฉันนั้น เทพบุตรเรียกพระเถระด้วยความเคารพนับ
ถือมากว่า ภทนฺเต. บทว่า อหุวาสึ แปลว่า ได้เป็นแล้ว. บทว่า
ปุพฺเพ ได้แก่ ในชาติก่อน. บทว่า สุเมธนามสฺส ชินสฺส สาวโก
ความว่า เป็นสาวกเพราะบวชในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระ-
นามปรากฏอย่างนี้ว่า สุเมธ. บทว่า ปุถุชฺชโน ได้แก่ ไม่ใช่พระอริยะ
ชื่อว่ายังมิได้ตรัสรู้ เพราะไม่มีแม้เพียงการตรัสรู้สัจจะทั้งหลายแม้ในศาสนา
นั้น. บทว่า โส สตฺต วสฺสานิ ปริพฺพชิสฺสหํ ความว่า ข้าพเจ้านั้น
เที่ยวไปโดยเพียงคุณคือบวช 7 ปี อธิบายว่า ไม่ได้บรรลุอุตริมนุส-
ธรรม คุณอันยิ่งของมนุษย์.

บทว่า รตนุจฺจยํ ได้แก่ รัตนเจดีย์ที่ยกขึ้นซึ่งสร้างด้วยรัตนะมี
แก้วและทองเป็นต้น. บทว่า เหมชาเลน ฉนฺนํ ความว่า คลุมด้วย
ข่ายทองทั้งรอบข้างและชั้นบน. บทว่า วนฺหิตฺวา ความว่า กระทำการ
นอบน้อมในที่นั้นๆ ด้วยเบญจางคประดิษฐ์. บทว่า ถูปสฺมึ มนํ ปสาทยึ
ความว่า ข้าพเจ้ายังจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปว่า นี้เป็นพระสถูปบรรจุ
พระธาตุ ซึ่งเป็นที่ตั้งมั่นแห่งคุณของพระสัพพัญญูหนอ.
บทว่า น มาสิ ทานํ ความว่า มิได้มีทานที่ข้าพเจ้ากระทำเลย
เพราะเหตุไร เพราะไม่มีวัตถุที่จะถวาย. บทว่า น จ มตฺถิ ทาตุํ
ความว่า วัตถุทานที่กำหนดไว้ ของข้าพเจ้าไม่มีที่จะให้ คือสิ่งของที่ควร
จะให้อะไร ๆ ไม่มี แต่ข้าพเจ้าได้ชักชวนสัตว์อื่น ๆ ในการให้ทานนั้น
บางท่านกล่าวว่า ปเรสญฺจ ตตฺถ สมาทเปสึ ได้ชักชวนคนอื่น ๆ ใน
การให้ทานนั้น ดังนี้ก็มี. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปเรสํ พึงทราบว่า
เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ลงในอรรถทุติยาวิภัตติ. บทว่า ปูเชถ นํ เป็นต้น เป็นบท
แสดงอาการชักชวน ประกอบความว่า ซึ่งพระธาตุนั้น กิร ศัพท์ ใน
บทว่า เอวํ กิร มีอรรถความว่าฟังตาม ๆ กันมา ด้วยบทว่า น ตสฺส
ปุญฺญสฺส ขยมฺปิ อชฺฌคํ
เทพบุตรแสดงว่า ข้าพเจ้าไม่ถึงความหมด
สิ้นแห่งบุญนั้น คือบุญกรรมที่กระทำอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า
สุเมธในครั้งนั้น ข้าพเจ้ายังเสวยเศษวิบากแห่งกรรมนั้นแหละ ดังนี้ ข้อใด
มิได้กล่าวไว้ในที่นี้ ข้อนั้น พึงทราบว่า เข้าใจง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัย
ดังกล่าวมาแล้วในหนหลัง.
จบอรรถกถาอเนกวัณณวิมาน

9. มัฏฐกุณฑลีวิมาน


ว่าด้วยมัฏฐกุณฑลีวิมาน


พราหมณ์

ถามเทพบุตรนั้นว่า
[83] เจ้าแต่งตัว มีตุ้มหูเกลี้ยง ทรงมาลัย
ดอกไม้ ทาตัวด้วยจันทน์แดง ประคองแขนคร่ำครวญ
อยู่ในกลางป่า เจ้าเป็นทุกข์หรือ.

มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรตอบว่า
เรือนรถทำด้วยทองคำงามผุดผ่อง เกิดขึ้นแก่
ข้า ข้าหาคู่ล้อรถนั้นยังไม่ได้ ข้าจะสละชีวิตเพราะ
ความทุกข์นั้น.

พราหมณ์กล่าวว่า
พ่อมาณพผู้เจริญ เจ้าอยากได้ล้อทองคำ แก้ว-
มณี ทองแดง หรือเงิน ก็จงบอกแก่ข้า ข้าจะจัด
คู้ล้อให้เจ้า.

มาณพนั้นกล่าวตอบพราหมณ์นั้นว่า พระ-
จันทร์พระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมปรากฏในท้องฟ้านั้น
รถทองของข้า ย่อมงามด้วยคู้ล้อนั้น.

พราหมณ์กล่าวว่า
พ่อมาณพ เจ้าเป็นคนโง่ ที่มาปรารถนาสิ่งที่
ไม่ควรปรารถนา ข้าเข้าใจว่าเจ้าจักตาย ( เสียก่อน)